ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์


กรุงรัตนโกสินทร์
การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
     ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ขณะที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปปราบเมืองเขมร ได้เกิดจลาจลวุ่นวายในกรุงธนบุรี
เมื่อเจ้าพระยาสรรค์ก่อกบฏเข้ายึดธนบุรีเอาไว้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงยกทัพกลับมาเพื่อปราบปรามกบฏในพระนคร เหล่าข้าราชการและประชาชนจึงพร้อมใจกันอัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเสด็จขึ้นครองราชย์  สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงปราบดาภิเษกขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี ในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ มีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ต่อมาได้รับยกย่องให้เป็น มหาราช คนทั่วไปจึงขนานพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
     หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า กรุงธนบุรีไม่เหมาะที่จะเป็นราชธานีสืบไป ด้วยสาเหตุหลายประการ คือ


๑.      พระราชวังภายในกรุงธนบุรีคับแคบไม่สามารถขยายเขตพระราชวังให้กว้างขวางออกไปได้ เพราะมีวัดขนาบอยู่ ๒ ด้าน คือวัดแจ้งหรือวัดอรุณราชวรารามและวัดท้ายตลาดหรือวัดโมลีโลกยาราม
๒.     กรุงธนบุรีแต่เดิมนั้นมีอาณาเขตข้ามมาถึงฝั่งตะวันออก ติดฟากจังหวัดพระนครบัดนี้ด้วย มีแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านกลาง มีลักษณะเป็นเมืองอกแตก แบบเมืองพิษณุโลก ซึ่งพระองค์ประทับสู่พม่ามาแล้ว ทรงเห็นว่าการที่มีแม่น้ำ อยู่กลางเมืองนั้นไม่สะดวกแก่การต่อสู้ข้าศึก ยิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแม่น้ำกว้างด้วยแล้วความไม่สะดวกนั้น ย่อมทวีขึ้น หลายเท่า เพราะทำสะพานข้ามไม่ได้ แม่น้ำลึก คลื่นมาก แม้จะมีเรือข้ามก็ข้ามไม่สะดวก เวลามีข้าศึกมาล้อม พระนคร จะส่งทหารถ่ายเทกันไปช่วยคนละฟากแม่น้ำเป็นการยาก
๓.     ถ้าหากย้ายพระนครมาตั้งฝั่งตะวันออกฝั่งเดียว จะได้อาศัยแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคูพระนคร ด้านเพราะที่ตรงรี้เป็นแหลม ยื่นออกไป คงทำคูเมืองอีก ด้านเท่านั้น ย่อมเป็นการสะดวกแก่การป้องกันพระนครมาก
๔.     ที่ตั้งพระราชวังเดิม(กรมอู่ทหารเรือในปัจจุบัน) เป็นท้องคุ้ง น้ำเซาะตลิ่งพังลงเรื่อย ไม่เหมาะแก่การจะสร้างพระราชวังให้เป็นการถาวรได้ 
๕.     กรุงธนบุรีเป็นเมืองที่มีการสร้างป้อมปราการเอาไว้ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ โดยเอาแม่น้ำ      
ผ่ากลาง (เรียกว่าเมืองอกแตก) เหมือนเมืองพิษณุโลกมีประโยชน์ตรงที่อาจเอกเรือรบไว้ใน
เมืองเมื่อเวลาถูกข้าศึกมาตั้งประชิดแต่การรักษาเมืองคนข้างในจะถ่ายเทกำลังเข้ารบพุ่ง
รักษาหน้าที่ได้ไม่ทันท่วงทีเพราะต้องข้ามแม่น้ำ แต่แม่น้ำเจ้าพระยาทั้งกว้างและลึกจะทำ
สะพานข้ามก็ไม่ได้ ทำให้ยากแก่การรักษาพระนครเวลาข้าศึกบุก
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้วในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๓๒๕ ได้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และตั้งชื่อเมืองแห่งใหม่นี้ว่า “กรุงเทพมหานคร” ด้วยทรงวินิจฉัยว่าบริเวณที่ตั้งราชธานีใหม่มีความเหมาะสมหลายประการ ดังนี้
     1. ทางฝั่งกรุงเทพฯเป็นที่ชัยภูมิเหมาะสมเพราะเป็นหัวแหลมถ้าสร้างเมืองแต่เพียง ฟากเดียว จะได้
แม่น้ำใหญ่เป็นคูเมืองทั้งด้านตะวันตกและด้านใต้ เพียงแต่ขุดคลองเป็นคูเมืองแต่ด้านเหนือและด้าน
ตะวันออกเท่านั้น ถึงแม้ว่าข้าศึกจะเข้ามาโจมตีก็พอต่อสู้ได้
     2. เนื่องด้วยทางฝั่งตะวันออกนี้ พื้นที่นอกคูเมืองเดิมเป็นพื้นที่ลุ่มที่เกิดจากการตื้นเขินของทะเล ข้าศึกจะยกทัพมาทางนี้คงทำได้ยาก ฉะนั้นการป้องกันพระนครจะได้มุ่งป้องกันเพียง ฝั่งตะวันตก
แต่เพียงด้านเดียว
     3. ฝั่งตะวันออกเป็นพื้นที่ใหม่ สันนิษฐานว่าชุมชนใหญ่ในขณะนั้นคงจะมีแต่ชาวจีนที่เกาะกลุ่มกัน
อยู่จึงสามารถขยายออกไปได้อย่างกว้างขวาง และขยายเมืองได้เรื่อยๆ
                พระองค์ทรงสร้างพระบรมราชวังใหม่ตามแบบอย่างการสร้างราชวังเดิมในสมัยอยุธยา โดยประกอบด้วย วังหลวง วังหน้า และวัดพระศรีศาสดารามหรือวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นวัดในพระบรมราชวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ในสมัยอยุธยา  แล้วให้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากวัดอรุณราชวรารามมาประดิษฐานที่วัดนี้และพระราชทานนามใหม่ว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากร” เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทยจนทุกวันนี้ นองจากนั้นยังมีทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง) และสถานที่สำคัญอื่นๆ โดยอาณาบริเวณตั้งแต่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงคูเมืองเดิมในสมัยธนบุรี (ปัจจุบันคือคลองหลอด)
                และพระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองเชื่อมในเขตพระนคร คือ คลองบางลำพู คลองโอ่งอ่าง และโปรดให้ขุดคลองเชื่อมคูเมืองเก่ากับคูเมืองใหม่ และสร้างกำแพงเมือง ประตูเมือง และป้อมปราการขึ้นตามแนวคลองรอบกรุง ทั้งยังโปรดให้สร้างถนน สะพาน และสถานที่อื่นๆ อีกมากมาย
                พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีได้ปกครองกรุงรัตนโกสินทร์สืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน ๙ พระองค์ ดังนี้
เพื่อความสะดวกในการศึกษาประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์    จึงได้แบ่งพัฒนาการทางประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ออกเป็น  ๓  ช่วง  คือ  สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  ซึ่งเป็นช่วงสมัยที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวและฟื้นฟูบ้านเมือง  สมัยปรับปรุงประเทศในช่วงรัชกาลที่  ๔ – ๖  เพื่อให้บ้านเมืองทันสมัย  และรอดพ้นจากการคุกคามโดยชาติตะวันตก  และสมัยประชาธิปไตย  ในช่วงรัชกาลที่  ๗  จนถึงปัจจุบัน  เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพและประเทศมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย  อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
                รัตนโกสินทร์ตอนต้น 
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ช่วงรัชกาลที่ ๑รัชกาลที่ ๓ พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยมีความคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยาและธนบุรี  ดังนี้
การปกครอง
การดำเนินการด้านการปกครอง 
     ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงใช้ในการปกครองประเทศนั้น ทรงเอาแบบอย่างซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจสูงสุดและเด็ดขาดในการปกครองประเทศ มีอัครมหาเสนาบดี ตำแหน่ง คือ สมุหพระกลาโหม และ สมุหนายก ตำแหน่งสมุหนายก มีเสนาบดี ตำแหน่ง ที่เรียกว่า จตุสดมภ์ ขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาโดยตรงที่แตกต่างออกไปคือ ทรงแบ่งการปกครองพระราชอาณาเขตออกเป็น ส่วน ได้แก่ การปกครองส่วนกลาง  การปกครองส่วนหัวเมือง และการปกครองเมืองประเทศราช 
การปกครองส่วนกลาง 
   สมุหพระกลาโหม มียศและพระราชทินนามว่า เจ้าพระยามหาเสนา ใช้ตราคชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่งมีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งด้านการทหารและพลเรือน
สมุหนายก มียศและพระราชทินนามไม่ทรงกำหนดแน่นอน ที่ใช้อยู่ได้แก่ เจ้าพระยาจักรี  บดินทร์เดชานุชิต  รัตนาพิพิธ ฯลฯ  ใช้ตราราชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่ง มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและอีสานทั้งด้านการทหารและพลเรือน
        จตุสดมภ์ มีดังนี้
1. กรมเวียง หรือ กรมเมือง เสนาบดี คือ เจ้าพระยายมราช มีตราพระยมทรงสิงห์เป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่ดูแลกิจการทั่วไปในพระนคร
2. กรมวัง เสนาบดี คือ พระยาธรรมา ใช้ตราเทพยดาทรงพระนนทิการ (พระโค) เป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่ดูแลพระราชวังและตั้งศาลชำระความ
3. กรมคลัง หรือ กรมท่า ใช้ตราบัวแก้ว เป็นตราประจำตำแหน่งมีเสนาบดีดำรงตำแหน่งตามหน้าที่รับผิดชอบคือ
ฝ่ายการเงิน ตำแหน่งเสนาบดีคือ พระยาราชภักดี
ฝ่ายการต่างประเทศ ตำแหน่งเสนาบดีคือ พระยาศรีพิพัฒน์
ฝ่ายตรวจบัญชีและดูแลหัวเมืองชายทะเลตะวันออก ตำแหน่งเสนาบดีคือ พระยาพระคลัง
4. กรมนา เสนาบดีมีตำแหน่ง พระยาพลเทพ ใช้ตราพระพิรุณทรงนาค เป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่ดูแลนาหลวง เก็บภาษีข้าว และพิจารณาคดีความเกี่ยวกับที่นา

การปกครองหัวเมือง
 คือ การบริหารราชการแผ่นดินในหัวเมืองต่างๆ ซึ่งแบ่งออกเป็นหัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้นนอก

     หัวเมืองชั้นใน
  (เดิมเรียกว่า เมืองลูกหลวง หรือ เมืองหน้าด่าน) ได้แก่ หัวเมืองที่กระจายอยู่รายล้อมเมืองหลวง ถือเป็นเมืองบริวารของเมืองหลวง ไม่มีศักดิ์เป็นเมืองอย่างแท้จริง เพราะไม่มี เจ้าเมือง มีเพียง ผู้รั้ง (ซึ่งไม่มีอำนาจอย่างเจ้าเมือง จะต้องฟังคำสั่งจากเมืองหลวง)
     หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ เมืองทั้งปวง(นอกจากเมืองหลวง เมืองชั้นใน และเมืองประเทศราช)
เมืองเหล่านี้จัดแบ่งระดับเป็นเมืองชั้น เอก โท ตรี ตามขนาด จำนวนพลเมืองและความสำคัญ แต่ละเมืองยังอาจมีเมืองเล็กๆ(เมืองจัตวา) อยู่ใต้สังกัดได้อีกด้วย เจ้าเมืองของเมืองเหล่านี้ มีอำนาจสิทธิ์ขาดในเมืองของตน แต่ต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการและนโยบายของ
รัฐบาลที่เมืองหลวง ตามเขตการรับผิดชอบคือ
     หัวเมืองเหนือและอีสาน อยู่ในความรับผิดชอบของสมุหนายก
     หัวเมืองใต้ (ตั้งแต่เมืองเพชรบุรีลงไป) อยู่ในความรับผิดชอบของ สมุหพระกลาโหม
     หัวเมืองชายทะเลตะวันออก (นนทบุรี  สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สาครบุรี ชลบุรี 
     บางละมุง  ระยอง  จันทบุรี  และตราด) อยู่ในความรับผิดชอบของ เสนาบดีกรมพระคลัง
     คือ พระยาพระคลัง


การแต่งตั้งเจ้าเมือง             

     เมืองเอก ได้แก่ เมืองพิษณุโลก  นครราชสีมา  นครศรีธรรมราช  ถลาง และสงขลา  พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเอง
     เมืองโท  ตรี และจัตวา  เสนาบดีผู้รับผิดชอบเป็นผู้แต่งตั้ง
การปกครองเมืองประเทศราช 
เมืองประเทศราชของไทยได้แก่ 
1. ล้านนาไทย (เชียงใหม่  ลำพูน  ลำปาง  เชียงแสน)
2. ลาว (หลวงพระบาง  เวียงจันทน์  จำปาศักดิ์)
3. เขมร
4. หัวเมืองมลายู (ปัตตานี  ไทรบุรี  กลันตัน  ตรังกานู)
เมืองประเทศเหล่านี้มีเจ้าเมืองเดิมเป็นผู้ปกครอง  แต่มีความผูกพันต่อราชธานี คือ การส่งเครื่องราชบรรณาการ ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ตามกำหนดเวลา และช่วยราชการทหารตามแต่กรุงเทพฯ หรือ ราชธานี จะมีใบบอกแจ้งไป ภารกิจของราชธานี (กรุงเทพฯ) คือ ปกป้องดูแลมิให้ข้าศึกศัตรูโจมตีเมืองประเทศราช
การชำระแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย

พระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับการปกครองที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดให้ดำเนินการนอกเหนือไปจากการปรับปรุงแก้ไขระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ การรวบรวมและชำระกฎหมายเก่า ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เมื่อได้ชำระเรียบร้อยแล้วโปรดเหล้าฯให้อาลักษณ์คัดลอกไว้เป็น ฉบับ ทุกฉบับประทับ
ตราคชสีห์  ตราราชสีห์ และตราบัวแก้ว  ซึ่งเป็นตราประจำตำแหน่งสมุหพระกลาโหม  สมุหนายกและพระยาพระคลัง ตามลำดับ เสนาบดีทั้งสามเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง ดูแลหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร กฎหมายฉบับนี้จึงมีชื่อเรียกว่า กฎหมายตราสามดวง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1  ได้ใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศมาจนถึงรัชกาลที่ ก่อนที่จะมีการปฏิรูปกฎหมายและการศาลตามแบบสากล
เศรษฐกิจ
สภาพทางเศรษฐกิจสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงยึดแบบแผนที่ปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและสมัยกรุงธนบุรีเป็นหลัก ซึ่งพอจะประมวลองค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่สำคัญได้ ประการคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้า  ที่มาของรายได้แผ่นดินและรายได้ประชาชาติ  ระบบเงินตรา
การศึกษา
ระบบการศึกษาในสมัยนี้ยังคงคล้ายสมัยกรุงศรีอยุธยา คือมีวัดและวังเป็นสถาบันทางการศึกษา  ที่วัดผู้ที่จะเข้าศึกษาจะต้องบวชเป็นพระ ซึ่งเราเรียกว่า บวชเรียน การสอนใช้พระและราชบัณฑิตสอนวิชาสามัญ ส่วนวิชาอื่นๆ เช่นช่างต่างๆ จะมีเรียนกันแต่ในครัวเรือนและวงศ์ตระกูล เช่น ช่างทอง ช่างหล่อ
สำหรับหญิงมีการศึกษาจากบุคคลในครัวเรือน วิชาที่เรียนจะเป็นพวกเย็บปักถักร้อย การบ้าน การเรือน การเรียนหนังสือจะมีบ้างถ้ารักที่จะเรียนแต่ก็ไม่เป็นที่นิยมมากนัก เด็กหญิงชาวพระนครบิดามารดามักส่งเข้ามาอยู่ในวัง โดยอยู่ในตำหนักเจ้านายหรือญาติ เพื่อเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี มารยาท การครองตน ต่อมาได้เริ่มพัฒนาระบบการศึกษาแบบใหม่มากขึ้น เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฏ (รัชกาลที่ 4) ผนวชที่วัดบวรนิเวศ โปรดให้คณะสอนศาสนาคริสต์   มิชชันรี มาถวายความรู้   เช่นบาดหลวงปัลเลอร์กัว สอนภาษาละติน แหม่มเฮาส์ หมอบรัดเลย์สอนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะหมอบรัดเลย์ได้เข้ามาสอนหนังสือให้เด็กไทย จีน  แจกยาและรักษาผู้ป่วยไข้ ได้ยำวิธีการปลูกฝีเพื่อป้องกันไข้ทรพิษมาเมืองไทย และต่อมาได้ทำเครื่องพิมพ์มาพิมพ์หนังสือ ได้จัดพิมพ์หนังสือประถม ก. กา ออกจำหน่าย และในสมัยรัชกาลที่ 3 นี้ได้มีการรวบรวมความรู้ต่างๆ ทั้งวรรณคดี โบราณคดี และตำรายา จารึกไว้ตามผนังวัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) จนมีผู้กล่าวว่าวัดโพธิ์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งรัชกาลที่ 3


อ้างอิง
https://www.google.co.th/search?rlz=1C1CHBD_enTH726TH727&biw=1366&bih=613&tbm=isch&sa=1&q=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C&oq=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3&gs_l=psy-ab.1.0.0l4.161523.161523.0.163391.1.1.0.0.0.0.317.317.3-1.1.0....0...1.1.64.psy-ab..0.1.316.fnDQt7oHpfI#imgdii=yO2XOEwUOmMooM:&imgrc=HVppmGMDwubUJM:

https://sites.google.com/site/kruchuychay/innovation/unit-three-historical-rattanakosin

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น